รู้จักอาจารย์เลกเชอร์แสนง่วง บิดาของ PS4, PS5 และ Game God ซ่อนรูป “Mark Cerny”
ช่วงนี้เกมเมอร์หลายคนอาจจะเพิ่งเคยได้ยินชื่อนาย “Mark Cerny” ในฐานะคนที่พูดเปิดตัวสเปกเครื่องคอนโซล “PlayStation 5” ได้ละเอียดยิบถึงพริกถึงขิง ละเอียดสุด ๆ จนเกมเมอร์หลายคนฟังแล้วถึงกับต้องง่วงเหงาหาวนอน ไม่ค่อยเข้าใจว่าเฮียแกพูดอะไร แถมบางคนยังถึงขั้นไปปรามาสแกด้วยซ้ำว่าเป็นคนที่เปิดตัว PS5 ไม่ได้เรื่องเลย
แต่รู้ไหมว่าบุรุษที่ดูน่าเบื่อคนนี้ แท้จริงแล้วเขาสั่งสมศักดินาความเทพในวงการเกมมากว่า 40 ปี จนระดับความเทพของเขาไม่แพ้นักพัฒนาเกมในตำนานอย่าง Sid Meier หรือ Hideo Kojima ด้วยซ้ำ หากขาดเขาไปเราคงไม่มีสิทธิ์ได้เห็นผลงานเกมชิ้นโบว์แดงอย่าง Sonic The Hedgehog 2, Uncharted และ Spyro เกมบล็อกบัสเตอร์สนุก ๆ เนื้อเรื่องดี ๆ แบบในปัจจุบันก็อาจจะไม่ออกมาในรูปแบบที่เราได้สนุกกันในวันนี้ แม้แต่เครื่องเกม PS4 ที่ตั้งอยู่ในบ้านหลาย ๆ คนก็อาจไม่ออกมาดีงามแบบนี้ด้วย ถ้าไม่เชื่อเราก็ไปสืบประวัติอีกหนึ่ง Game God แห่งวงการนายนี้ด้วยกันดีกว่า
จุดเริ่มต้นจากการพัฒนาเกมสุดคลาสสิก
Mark Cerny เกิดที่เมืองเบอร์แบงค์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยพรสวรรค์และความสนใจในสื่อวิดีโอเกมตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ทำให้เขาได้รับข้อเสนอเข้าทำงานกับ “Atari” บริษัทเกมรายยักษ์ในเวลานั้นด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น แน่นอนว่าโอกาสทองมาประเคนถึงที่แบบนี้ใครไม่คว้าก็บ้าแล้ว Mark เลยตัดสินใจดรอปจากโรงเรียนแล้วมุ่งสู่วงการเกมเต็มตัวตั้งแต่วันนั้น ซึ่งเขาก็สามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการออกแบบและร่วมเขียนโปรแกรมเกมอาร์เคดคลาสสิก “Marble Madness” ในปี ค.ศ. 1984 ซึ่งแค่นั้นก็น่าจะถือเป็นความสำเร็จในชีวิตสำหรับใครหลาย ๆ คนแล้ว
แต่ดูเหมือน Mark Cerny จะไม่ได้อยากหยุดอยู่แค่การเป็นนักพัฒนาเกม เขาเริ่มแสดงออกแต่เนิ่น ๆ ว่าตนสนใจเส้นทางสายฮาร์ดแวร์ โดยเขาได้นั่งพัฒนาแผงวงจรเกมอาร์เคดขึ้นมาใช้เองคนเดียวในยามว่าง จากนั้นจากปลายยุค 80s เขาก็ขยายประสบการณ์ตัวเองด้วยการเข้าทำงานกับบริษัทเกมญี่ปุ่นชื่อดังนามว่า SEGA อันเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันยาวนานของเขาและวงการเกมแดนปลาดิบ
ในช่วงเวลา 3 ปีที่อยู่กับ SEGA เขาได้ร่วมพัฒนาเกมอาร์เคด Shooting Gallery เกม Missile Defense 3-D แถมยังได้ฝึกภาษาญี่ปุ่นและได้พบคุณภรรยาในอนาคต จนในปี 1991 เขาเกิดไอเดียอยากฟอร์มทีมของตัวเองขึ้นมา SEGA จึงมอบหมายให้เขาตั้ง Sega Technical Institute ขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งทีมนี้เองที่ได้สร้างสรรค์เกมเด็ดอย่าง Sonic the Hedgehog 2 ออกมาบนเครื่องคอนโซล Genesis/Mega Drive ในปี 1992 หลังจากนั้นไม่นาน Mark ก็ออกมาเข้าร่วมกับทีมพัฒนาเกม Crystal Dynamics (คนทำซีรี่ส์เกม Samurai Shodown, Soul Reaver, และ Tomb Raider) และ ณ เวลานี้เองที่เขาได้สัมผัส devkit ของเครื่อง PlayStation เป็นครั้งแรก หลังจากไปเยี่ยมสาขาหลักของ Sony ที่กรุงโตเกียวและได้ทำความรู้จักกับคุณ Shuhei Yoshida จาก Sony
กำเนิดใหม่ 2 ทีมพัฒนาเกมในตำนาน
แต่ตอนนั้น Mark ก็ไม่ได้มีเวลาไปแตะ devkit ของ PlayStation ซักเท่าไหร่ เขากำลังอยู่ในสถานะ “กึ่งพักร้อน” เนื่องจากบริษัทเอนเทอร์เทนเมนท์รายใหญ่ของ Universal Studios ได้เกณฑ์ตัวเขาไปลองผิดลองถูกกับธุรกิจขาใหม่ในสายเกม นามว่า “Universal Interactive Studios” ข่าวดีก็คือ Universal เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงกับกิจการเกม เลยปล่อยให้นาย Mark ทำอะไรก็ได้กับเงินก้อนโตและเวลาที่มีในมือ
เมื่อมีเงินและอำนาจโดยที่ไม่มีใครมานั่งคุมก็สบายสิครับ Mark เลยตัดสินใจไปเซ็นสัญญากับทีมพัฒนาโนเนม มีพนักงานแค่ 3 คน แถมตั้งชื่อแปลกๆ ว่า “Naughty Dog” ทีมเล็กๆ ที่ว่านี้เองได้พัฒนาเกมแพลตฟอร์มระดับขึ้นหิ้งอย่าง Crash Bandicoot ภาคแรกออกมา ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้สยายปีก มอบแฟรนไชส์เกมระดับเทพอย่าง The Last of Us และ Uncharted ที่เรียกได้ว่าปฏิวัติวงการเกมแอ็กชันไปเลย
นั่นยังไม่พอ Mark ยังเซ็นสัญญาให้ทุนกับบริษัทเกิดใหม่รายเล็ก ๆ ที่มีผู้ก่อตั้งแค่ 2 คนชื่อว่า Insomniac Games และดันให้พวกเขาสามารถสร้างเกม Spyro the Dragon ภาคแรกออกมาได้ และก็คือทีมเล็ก ๆ นี่แหละที่เป็นคนสร้างอีกสารพัดเกมซีรีส์เด็ด ทั้ง Ratchet & Clank, Resistance, Sunset Overdrive และ Marvel’s Spider-Man สุดมันส์บนเครื่อง PS4
เรียกได้ว่าถ้าไม่มี Mark Cerny คนนี้ ทีมพัฒนาทั้งสองอาจไม่ได้แจ้งเกิด และเราอาจจะไม่มีเกมระดับมาสเตอร์พีซกว่ายี่สิบเกมออกมาให้ดื่มด่ำกันตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมาก็ได้
เบิกทางสู่ PlayStation
ช่วงต้นยุค 90s ทีม Sony ซุ่มทำตัวต้นแบบของเครื่อง PlayStation 2 จนเสร็จ ทีนี้สิ่งที่พวกเขาต้องการในขั้นต่อไปก็คือเดโมเกมที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับใช้ดันเครื่องเกมคอนโซลตัวใหม่ล่าสุด และเพื่อให้ทีมหน้าใหม้ไฟแรงอย่าง Naughty Dog และ Insomniac สามารถออกตัวพัฒนาเกมได้รวดเร็วและราบรื่น คุณ Shuhei Yoshida เลยตัดสินใจติดต่อไปหาเพื่อนเก่าชาวมะกันให้มาช่วยทีมที่โตเกียวทำกราฟิกเอนจิ้นบนเครื่อง PS2 ให้หน่อย ผลก็คือ Mark ได้ไปช่วยเป็นโปรแกรมเมอร์ให้เกมเปิดตัวชื่อว่า Jak & Daxter: The Precursor Legacy ในปี 2001 และเป็นเกมดีไซเนอร์ให้เกม Ratchet & Clank ในปี 2002 หลังจากนั้นเขาก็ยังมาช่วยทำภาคต่อให้กับทั้งสองทีมพัฒนาอีกหลายครั้ง ซึ่งประสบการณ์ทำงานที่เขาได้รับมาช่วงเวลานี้เอง ที่ทำให้เขาสามารถสร้างพิมพ์เขียวแนวทางการพัฒนาเกม อันเป็นเหมือนต้นแบบให้นักพัฒนาเกมระดับบล็อกบัสเตอร์ทั่วโลก
Mark เรียกเทคนิคพัฒนาเกมที่ว่านี้แบบสั้นๆ ง่ายๆ ว่า Method (นักพัฒนาหลายคนรู้จักกันในชื่อ Method ของ Cerny) เทคนิคนี้ให้ความสำคัญกับการให้อิสระทางความคิดแก่ทีมพัฒนาอย่างเต็มที่ เพื่อให้พวกเขาออกไอเดียสร้างสรรค์ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดในช่วง pre-production ตัวเกม ให้ทุกคนสรุปคอนเซ็ปต์ของเกมดีไซน์ได้ก่อนจะลงมือเดินเครื่องพัฒนาเกมเต็มกำลัง วิธีนี้ช่วยให้คอนเซ็ปต์ของเกมแน่นปึ้กและตัวเกมออกมาได้ตรงตามไอเดียที่วางไว้แต่แรกมากที่สุด โดยทีมพัฒนาเกมแทบทั้งหมดบนโลกได้นำเทคนิคนี้มาใช้กับการพัฒนาเกมจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีคนนอกวงการที่รู้เรื่องนี้ซักเท่าไหร่